Last updated: 7 พ.ย. 2561 |
เบนจามิน เกรแฮม นักลงทุนทุกคนรู้จักเขาในฐานะที่เป็นบิดาแห่งการลงทุนแบบเน้นคุณค่า และยังเป็นอาจารย์ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ในสมัยที่สอนอยู่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียด้วย คนอาจคิดว่าหุ้นที่เขาเลือกจะต้องเป็นหุ้นที่มีราคาถูกมากๆ (ตามสไตล์ value investing แท้) แต่มีไม่กี่คนหรอกที่รู้ว่า หุ้นที่ทำเงินให้กับเกรแฮมได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ ไม่ใช่หุ้นราคาถูก
แต่เป็นหุ้น growth stock ที่ชื่อว่า GEICO
GEICO
เกรแฮมเจอหุ้นตัวนี้ในช่วงปี 1948 บริษัทประกอบธุรกิจประกันภัยรถยนต์ในสหรัฐอเมริกา ความได้เปรียบของบริษัทคือมีต้นทุนที่ถูกกว่าคู่แข่ง และผู้บริหารที่มีความสามารถ (กิจการก่อตั้งมาเพียงแค่ 10 ปี ด้วยเงินทุน $100,000 แต่มีรายรับจากเบี้ยประกันถึง 3 ล้านเหรียญ) ทำให้เกรแฮม ตัดสินใจละเมิดกฎการลงทุนที่สำคัญของตัวเขาเองถึงสองข้อ
ข้อแรก เขาซื้อหุ้นตัวนี้ในราคาที่แพงกว่าปกติ โดยซื้อในราคาที่ถูกกว่ามูลค่าตามบัญชี (book value) เพียง 10% เท่านั้น หรือคิดเป็นส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย (margin of safety) 10% ขณะที่ตามปกติแล้ว ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัยที่เขาใช้มักจะอยู่ที่ 30%
ข้อสอง เขาซื้อโดยใช้เงินถึง 25% ของเงินทุนที่มีทั้งหมดในตอนนั้น ถ้าเป็นช่วงเวลาปกติ เกรแฮมจะเป็นคนที่กระจายการลงทุนเป็นอย่างมาก เพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุนครั้งใหญ่จากการถือหุ้นน้อยตัว
ภาพการถ่ายรูปหมู่ร่วมกันระหว่างผู้บริหาร GEICO และผู้ถือหุ้น โดยคนซ้ายมือสุดคือวอร์เรน บัฟเฟตต์ และคนที่ 3 จากซ้ายมือคือ เบนจามิน เกรแฮม (ขอบคุณภาพจาก robinrspeziale.com)
ราคาไม่แพง
เมื่อเทียบกับ growth
ในที่สุด เกรแฮมก็เข้าซื้อหุ้นของ GEICO ด้วยเงินกว่า 712,000 เหรียญ คิดเป็น 50% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของกิจการ พร้อมกับการเข้าเป็นหนึ่งในกรรมการของ GEICO ด้วย ก่อนที่จะลาออกในปี 1965
ผลลัพธ์จากการลงทุนนี้ถือได้ว่าเป็นการตีโฮมรันครั้งใหญ่ เพราะผ่านไป 25 ปีนับตั้งแต่ที่เกรแฮมเข้าลงทุน จากเงิน 715,000 เหรียญ ได้เติบโตขึ้นไปถึง 400,000,000 ล้านเหรียญ คิดเป็นผลตอบแทนกว่า 500 เด้ง และหลังจากนั้นอีก 50 ปี ก็มีคนเข้ามาซื้อหุ้นในสัดส่วนอีก 50% ของบริษัท GEICO ด้วยเม็ดเงินกว่า 2,300 ล้านเหรียญ ซึ่งคนที่เข้ามาซื้อก็ไม่ใช่ใคร เขาคือ วอร์เรน บัฟเฟตต์
ไม่มีใครรู้ว่ากองทุนของเกรแฮมนั้นถือหุ้น GEICO ไว้นานขนาดไหน (เขาเสียชีวิตไปในปี 1976) แต่ถ้าเขายังถือหุ้นอยู่จนถึงช่วงที่บัฟเฟตต์เข้ามาซื้อกิจการ ผลตอบแทนรวมที่บิดาแห่งการลงทุนแบบเน้นคุณค่านี้ได้รับ จะอยู่ที่ 17.53% ต่อปี หรือ 3,216 เด้ง
Growth สำคัญ
ไม่แพ้มูลค่า
แม้เกรแฮมจะเป็นคนที่เคร่งครัดเรื่องวิธีการลงทุนมาก ซื้อหุ้นต้องประเมินมูลค่าทุกครั้ง ราคาต้องไม่แพงเมื่อเทียบกับมูลค่าที่แท้จริงของกิจการ แต่สำหรับ GEICO ที่เขายอมซื้อในราคาที่ถูกกว่า book value เพียง 10% นั่นเพราะเขาเห็นว่า โอกาสในการเติบโตของบริษัทยังมีอีกมาก และมันจะมาชดเชยความแพงของราคาหุ้นในวันนี้ไปได้
ซึ่งก็เป็นจริงอย่างที่เขาคาด เพราะในปัจจุบัน GEICO เป็นยักษ์ใหญ่ 1 ใน 10 ของอุตสาหกรรมประกันภัยรถยนต์ของสหรัฐอเมริกาไปแล้ว
นักลงทุนอย่างเราอาจมองภาพกิจการในอีก 50 ปีข้างหน้าได้ยาก แต่อย่างน้อย สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากกรณี GEICO ก็คือ การเติบโตของกิจการเป็นอีก factor สำคัญ ที่นักลงทุนต้องนำมาพิจารณา และใช้ประเมินมูลค่าหุ้นเสมอครับ
ราคาที่จ่ายในวันนี้อาจดูแพง แต่มันอาจถูกมากก็ได้เมื่อเทียบกับการเติบโตในอนาคต เฉกเช่น GEICO
ติดตามความรู้เพิ่มเติมได้ที่ FACEBOOK, LINE, WEBSITE
INVESTING.in.th — Happy Investing
แหล่งอ้างอิง
GEICO - The “Growth Company” That Made the “Value Investing” Careers of Both Benjamin Graham and Warren Buffett (Wedgewood VIC Presentation) : https://www.gurufocus.com/news/218282/geico--the-growth-company-that-made-the-value-investing-careers-of-both-benjamin-graham-and-warren-buffett-wedgewood-vic-presentation---
Berkshire Hathaway annual report : http://www.berkshirehathaway.com/2017ar/2017ar.pdf