Last updated: 3 ม.ค. 2563 |
เดย์เทรด คือการเล่นหุ้นระยะสั้นที่มักจะถือหุ้นหรือสถานะไม่เกิน 1-2 วัน หรือบางคนอาจเทรดโดยใช้เวลาไม่เกิน 30 วินาทีก็ยังได้ แต่ละคนอาจมีวิธีเทรดต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือ เน้นเทคนิคอลเป็นหลัก ปัจจัยพื้นฐานเล็กน้อย และเข้าไวออกไว
ชาวเดย์เทรดมักโดนสบประมาทเสมอว่ามันเป็นหนทางในการทำกำไรที่ไม่ยั่งยืน เพราะหากว่ากันตามจริงแล้ว การทำเงินให้ได้ทุกวันๆ ละ 1% เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากพอตัว จนนักลงทุนสายอื่นพากันมองว่ามันเป็นไปไม่ได้
แต่มันก็เป็นไปแล้ว กับชายผู้หนึ่งซึ่งเดย์เทรดมาเป็นเวลาเกือบสิบปี จนสามารถทำเงินจาก 50,000 เหรียญเป็น 20,000,000 เหรียญได้ ชื่อของเขาคือ มาร์ตี้ ชวาทซ์
มาร์ตี้ ชวาทซ์ ปัจจุบันมีอายุอานาม 70 กว่าปีแล้ว ก่อนหน้าที่จะมาเป็นเทรดเดอร์เต็มตัวนั้น เขาเองทำงานเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์โดยอาศัยปัจจัยพื้นฐานล้วนๆ ซึ่งแน่นอนว่าแนวทางการลงทุนของเขาก็ใช้เรื่อง fundamental เป็นหลักเช่นกัน แม้จะฉลาดเป็นกรด แต่จากการเป็นนักวิเคราะห์มา 9 ปี ก็ไม่ได้ทำให้ผลการลงทุนของเขาดีมากมายนัก
นั่นจึงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ชวาทซ์เริ่มมาคิดบ้างแล้วว่าถึงเวลาที่ควรจะทำอะไรเพื่อตัวเองแบบจริงจังเสียที จึงเริ่มนำเงินเก็บราว 5,000 เหรียญ มาลองเทรดในตลาดออปชั่น ก่อนจะกลายเป็น 140,000 เหรียญในเวลาเพียงแค่ 2 ปี
ในที่สุด ชวาทซ์ก็ตัดสินใจลาออกจากการเป็นนักวิเคราะห์ และนำเงินที่มีอยู่มาซื้อที่นั่งในฟลอร์ของตลาดหลักทรัพย์ รวมถึงยืมเงินจากคนอื่นมาบางส่วน บวกลบแล้วทำให้เขามีเงินเริ่มต้นเทรดรอบนี้คือ 50,000 เหรียญ
ในช่วงวันแรกๆ เขาอาจจะมีติดขัดอยู่บ้าง (เพราะเพิ่งมาเป็นเดย์เทรดเต็มตัว) แต่ปิดสิ้นปีแรก ชวาทซ์ก็สามารถทำเงินได้ 600,000 เหรียญ และอีก 1.2 ล้านเหรียญในปีถัดมา ก่อนที่เงินทุนของเขาจะกลายเป็นเกือบ 20 ล้านเหรียญในอีก 10 ปีให้หลัง ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากการที่เขาเปิดรับบริหารกองทุนส่วนบุคคลด้วย
ความโหดของชวาทซ์ไม่ใช่เพียงผลตอบแทนอันแสนจะอลังการ แต่ในแง่ของความเสี่ยง เขามีช่วงที่ขาดทุนสูงสุดเพียงแค่ 3% ของพอร์ตโฟลิโอเท่านั้นเอง (maximum drawdown 3%) เนื่องจากเขาเป็นคนที่ตัดขาดทุนไวมาก
สำหรับกลยุทธ์ที่เขาใช้ จะเน้นที่เทคนิคอลและการจับจังหวะตลาดเป็นหลัก โดยอาศัยข้อมูลปัจจัยพื้นฐานและข่าวลือด้วย ส่วนเครื่องมือที่เขาบอกว่ามีประโยชน์มากที่สุด คือเส้นค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 แท่ง (EMA10) และเมจิก-ที (Magic-T)
แม้จะสร้างผลตอบแทนได้ระดับพระเจ้า แต่ชวาทซ์ก็เริ่มผ่อนคันเร่งในการเทรดลง หลังจากที่ช่วงหนึ่งเขามีปัญหาด้านสุขภาพอันเนื่องมาจากความเครียดในการเทรดอย่างหนัก จนเกือบทำให้เขาเอาชีวิตไม่รอด (ซึ่งนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาเลิกรับบริหารกองทุนด้วยเช่นกัน)
ทำให้ตอนนี้ เราจะไม่ได้ยินข่าวคราวของหมาป่าแห่งวอลสตรีทผู้นี้มากนัก เหลือเพียงแต่ตำนานของโคตรเดย์เทรดผู้ทำเงินได้มากกว่า 100% ต่อปี
สิ่งที่ผมประทับใจในตัวเขามีอยู่ 3-4 อย่าง อย่างแรกคือ การคุมความเสี่ยงที่ดี จริงอยู่ที่วิธีการเทรดของเขาอาจจะเสี่ยงในสายตาคนทั่วไป แต่เพราะการตัดขาดทุนที่รวดเร็วมาก ก็สามารถลดความเสี่ยงที่จะขาดทุนหนักได้
อย่างที่สอง คือความพยายาม หากใครได้อ่านประวัติของเขาแบบเต็มๆ ในหนังสือ PitBull (สั่งจองได้ที่ลิงก์ด้านล่าง) จะรู้ว่ายุคที่เขาเทรดนั้นคอมพิวเตอร์ยังไม่แพร่หลายนัก ชวาทซ์ถึงกับต้องทำสรุปชาร์ทหุ้นหลายสิบตัวทุกๆ คืนด้วยตนเอง ลองนึกภาพว่าเราต้องคำนวณเส้น EMA10 ในหุ้นทุกตัวด้วยมือสิครับ แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว แต่เขากลับทำเป็นกิจวัตรอย่างไม่รู้จักเหนื่อย
อย่างที่สาม คือกล้าที่จะเปลี่ยนแนวทางการลงทุนให้เข้ากับจริตตนเอง เพราะก่อนหน้านี้ ชวาทซ์มีความเชี่ยวชาญเรื่องปัจจัยพื้นฐาน แต่ก็ไม่สามารถเอาตัวรอดในตลาดได้ เพราะวิธีการมันไม่สอดคล้องกับจริตและสไตล์ของเขา
แต่หลังจากที่ชวาทซ์เปลี่ยนวิธีการลงทุนที่แตกต่างจากเดิมอย่างสุดขั้ว ก็สามารถสร้างผลลัพธ์อันน่าอัศจรรย์ได้ ซึ่งมันต้องอาศัยความกล้าไม่น้อยเลยที่จะเปลี่ยนไปใช้วิธีการใหม่ๆ ที่ไม่คุ้นเคย
และเรื่องสุดท้ายคือ สุขภาพ ต่อให้เป็นเทรดเดอร์หรือนักลงทุนที่เก่งแค่ไหน ร่างกายมันก็มีขีดจำกัด การฝืนโดยไม่ได้ใส่ใจกับตัวเอง เราอาจได้ผลตอบแทนหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ก็จริง แต่หากไม่มีชีวิตอยู่เพื่อได้ใช้เงิน กำไรที่ทำมามันก็ไม่มีค่าอะไรเลย
เรื่องที่ดีก็นำมาปรับใช้ เรื่องไหนไม่ดีก็เก็บมาไว้เป็นบทเรียน เพราะไม่มีใครที่เป็นผู้ชนะได้ทุกเรื่อง กระทั่งเทรดเดอร์ที่เก่งกาจอย่างชวาทซ์ก็ตาม
จากหนังสือ Pit Bull ตามติดชีวิตโคตรแชมป์เดย์เทรด
สั่งจองหนังสือได้ที่นี่
ลดพิเศษ 20% พร้อมจัดส่งฟรี
www.INVESTING.in.th
ร้านหนังสือของนักลงทุน