Last updated: 6 ต.ค. 2561 |
Mark Weinstein เป็นหนึ่งในเทรดเดอร์ที่ถูกสัมภาษณ์ลงหนังสือพ่อมดแห่งวอลสตรีท ของ Jack Schwager ซึ่งคนที่จะได้รับการสัมภาษณ์ลงหนังสือเล่มนี้ได้ จะต้องเป็นเทรดเดอร์หรือนักลงทุนที่มีฝีมือชนิดหาตัวจับได้ยาก เพราะนี่คือหนังสือที่รวมบทสัมภาษณ์เฉพาะนักลงทุนแถวหน้าเท่านั้น
หนังสือพ่อมดตลาดหุ้น คลิกที่รูปเพื่อสั่งซื้อ
และฝีมือของวีนสไตน์เองก็มีฝีมือที่ไม่เป็นสองรองใคร กิตติศัพท์ของเขาคือ นับตั้งแต่ปี 1980 เป็นต้นมา ไม่มีสัปดาห์ไหนเลยที่เขาขาดทุน และไม่ต้องบอกก็พอจะเดาได้ว่า เขาต้องผ่านดอยแล้วดอยเล่า หมูตัวแล้วตัวเล่าก่อนที่จะประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้
ซึ่งตัวเขาเองก็ได้สรุปเป็นกฎ 7 ข้อ หากต้องการเป็นเทรดเดอร์ที่อยู่รอดในตลาดได้ ประกอบด้วย
1 ทำการบ้านให้หนัก และต้องรู้ทุกรายละเอียดในเครื่องมือที่ใช้ในการเทรด
สำหรับนักลงทุนสายปัจจัยทางเทคนิค เราจำเป็นที่จะต้องติดตามดูชาร์ทราคาอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในระยะแรกที่ยังไม่มีวิธีการเทรดที่ดีเท่าไหร่นัก และยังจำเป็นต้องพัฒนาระบบการเทรดให้ดีขึ้น ก็ไม่มีทางลัดนอกจากทำการบ้านให้หนัก เปิดกราฟดูย้อนหลัง หรือเขียนโค้ดลองคอมพิวเตอร์เพื่อเก็บข้อมูลอัตโนมัติ
หรือต่อให้มีแผนการเทรดที่ดีแล้ว การติดตามราคาหุ้นยังต้องทำอย่างต่อเนื่อง ยิ่งคนที่เน้นเล่นสั้นหรือเทรดในวัน การติดตามตลาดหุ้นคือสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ต่อให้ปิดตลาดไปแล้ว ก็ต้องเปิดกราฟดูเพื่อเช็กคุณภาพของหุ้นที่ถือ รวมไปถึงหาหุ้นสำหรับเทรดตัวใหม่
อีกเรื่องคือ ต้องรู้ทุกมุมในเครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้ เช่น สมมติว่านักลงทุนเป็นเทรดเดอร์สายตามแนวโน้ม และถนัดใช้ RSI เพื่อหาจุดเข้าซื้อที่ดี ก็ต้องเข้าใจในธรรมชาติของมันว่า RSI ที่พุ่งสูงขึ้นจนเข้าสู่สภาวะ overbought (ซื้อมากเกินไป) ก็ไม่ได้หมายความว่าหุ้นจะขึ้นต่อไม่ได้ มันอาจจะย่อตัวเล็กน้อยแล้วไปต่อ การขายหุ้นทิ้งอาจทำให้เราเสียโอกาสได้ เป็นต้น
2 เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จจะไม่มีอีโก้หรือทำตัวโอหัง ถ้าคุณมีอีโก้ ในไม่ช้าคุณจะถังแตกเพราะคุณจะละเลยการควบคุมความเสี่ยง เพราะคิดว่าตัวเองสามารถเอาชนะตลาดได้
ทุกคนย่อมมีช่วงเวลาที่ได้กำไรก้อนใหญ่ ลองนึกถึงช่วงเวลาเหล่านั้นดูเล่นๆ ว่าอารมณ์เรามาเต็มขนาดไหน ทั้งความมั่นใจ อีโก้ ความหยิ่งยโสโอหัง ซึ่งการมีอารมณ์เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะเราคือมนุษย์ แต่เราต้องเรียนรู้ที่จะจัดการกับอารมณ์ที่เกิดขึ้น
เพราะฉะนั้นแล้ว ไม่ว่าจะได้กำไรก้อนใหญ่มาขนาดไหน หรือตลาดเป็นใจสักเพียงใด การคุมความเสี่ยงยังจำเป็นเสมอ เราอาจผ่อนคลายเล็กน้อยอย่างเช่น เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นแต่ละตัวมากขึ้น จากซื้อไม่เกิน 10 ตัว เป็นซื้อไม่เกิน 5 ตัวเมื่อสภาพตลาดเป็นใจ แต่ต้องไม่เข้าเทรดแบบเกินตัวเด็ดขาด
3 เข้าใจในข้อจำกัดของตัวเอง เพราะทุกคนล้วนมีจุดอ่อน
กระทั่งเทรดเดอร์อย่างวีนสไตน์ หรือต่อให้เป็นโซรอสก็มีจุดอ่อน ถ้าเราไม่สามารถแก้ไขจุดอ่อนได้ ก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน ซึ่งจุดอ่อนในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงสิ่งที่เป็นตัวเราเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงปัจจัยภายนอกด้วย คนที่ต้องทำงานประจำเช้าถึงเย็น จุดอ่อนของเขาคือไม่มีเวลา การเทรดแบบซื้อขายภายในวัน ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมนัก อาจต้องเปลี่ยนแนวทางการลงทุนที่ใช้ระยะเวลาถือนานขึ้น
หรือจุดอ่อนในเรื่องของนิสัยตัวเทรดเดอร์เอง ถ้าเราอดทนไม่ได้ที่จะต้องขายหุ้นเพราะรู้ว่าอีก 15 นาทีข้างหน้าราคาจะย่อตัว และอึดอัดทุกครั้งที่ซื้อแล้วถือนานๆ การเทรดเก็งกำไรระยะสั้นก็อาจเหมาะกว่า อย่าให้ใครมาบอกเราว่าวิธีการไหนดีที่สุด มันไม่มี มีแต่วิธีการที่เหมาะกับตัวเองเท่านั้น
4 มีความคิดที่เป็นอิสระ ไม่กังวลในความคิดของตัวเองที่ต่างจากฝูงชนส่วนใหญ่
มีการทดลองบ่อยครั้งที่แสดงให้เห็นว่า มนุษย์มักจะตัดสินใจตามคนส่วนใหญ่ ถ้ามีคนสัก 10 คน พูดกรอกหูเราเรื่อยๆ ว่าเราคือคนที่หน้าตาดีที่สุดในประเทศ เราก็จะเชื่อไปตามนั้น ทั้งที่มันอาจไม่มีมูลความจริงเลยก็ได้
ลองนึกถึงการซื้อหุ้นสักตัว แล้วผานไปแค่ครึ่งชั่วโมง ก็มีเซียนหุ้นที่ไหนไม่รู้มาออกข่าวลงสื่อว่าอย่าเทรดหุ้นตัวนี้ เพราะมันหมดอนาคตแล้ว เรากล้าพอที่จะถือหุ้นตัวดังกล่าวต่อหรือเปล่า ? นี่คือความหมายของการมีความคิดที่เป็นอิสระ
แต่ทั้งนี้ เราก็ต้องแยกให้ออกว่าความคิดของเราคือสิ่งที่ถูกต้องจริงๆ และคนส่วนใหญ่กำลังคิดผิด ถ้าเราซื้อหุ้นทั้งที่กราฟกำลังเป็นขาลงอย่างหนัก นั่นคงไม่ใช่การมีความคิดแบบมีอิสระที่ดีเท่าไหร่
5 รอจังหวะเทรดที่เหมาะสม และรู้ว่าเมื่อไหร่ควรอยู่ในตลาดหรือออกจากตลาด
ตลาดไม่ได้เป็นใจแก่นักลงทุนเสมอไป หากตลาดไม่ดี มองไม่ออก หรือขาดทุนอย่างหนักจนเริ่มรู้สึกไม่อยากเทรด ก็เพียงแค่ออกจากตลาดชั่วคราว หลายๆ ครั้ง การไม่ทำอะไรก็อาจเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุด
6 แผนการเทรดต้องยืดหยุ่นและปรับตัวให้เข้ากับสภาพตลาดแต่ละช่วงได้ เพราะตลาดนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
ภาวะตลาดนั้นเปลี่ยนแปลงไปเสมอ การดูอารมณ์ของตลาดคือสิ่งที่จำเป็น หากตลาดเป็นขาขึ้น การเทรดในหน้า long ย่อมง่ายกว่าและมีโอกาสทำเงินได้มากกว่าการ short การดูอารมณ์ของตลาดตรงนี้ไม่ใช่การ "คาดการณ์" แต่มันคือการดูตลาด ณ ปัจจุบันว่ากำลังอยู่ในสภาวะไหน เพื่อปรับเปลี่ยนแผนการเทรดและการจัดการเงินทุนให้เหมาะสม
7 ทุกครั้งที่ได้กำไร อย่าไปมีอารมณ์ร่วมกับมัน เทรดเดอร์ส่วนใหญ่พอมีกำไรแล้วมักจะเสี่ยงมากขึ้นจนนำไปสู่การขาดทุนในที่สุด
เหมือนกับข้อ 2. ที่วีนสตีนเน้นบทเรียนเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ เพราะตัวเขาเองก็เคยผ่านจุดที่ทำเงินไปได้ถึงล้านเหรียญ แต่สุดท้ายก็โดนตลาดเอาคืนไปถึง 6 แสนเหรียญ เพราะฉะนั้น อย่าเก่งกว่าตลาด จงเคารพตลาดและควบคุมความเสี่ยงเสมอ
ติดตามความรู้เพิ่มเติมได้ที่ FACEBOOK, LINE, WEBSITE
INVESTING.in.th — Happy Investing
แหล่งอ้างอิง
หนังสือพ่อมดแห่งวอลสตรีท : https://www.investing.in.th/product/27106/%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%97
13 พ.ย. 2563
13 พ.ย. 2563
14 ส.ค. 2561